จากเด็ กยากจน สู่นักเรียนนอก ไม่เก่งภาษา แต่จบโทเกรด 4

ไ ม่เก่งภาษา แต่จบโทเกรด 4.00 จากเด็ กยากจนสู่นักเรียนนอก

เป็นเรื่องราวดีๆ ที่น่าเ อาเป็นแบบอย่าง ของ ดร.นันทนา ทัพทะมาตย์ หรือ นัน ที่แม้จะเกิดมา “ย ากจ น” แต่ต่อสู้ชีวิตจนประสบความสำเร็จ ได้ทุนไปศึกษาต่อ สหรัฐฯ และจบปริญญาโทด้วยเกรด 4.00 อีกทั้งได้ทุนเอนเดเวอร์จากรัฐบาลออสเตรเลีย จนเรียนจบปริญญาเอก University of Queensland ประเทศออสเตรเลีย

ดร.นันทนา ย้อนเล่าเรื่องราวชีวิตในตอนเด็ กว่า เป็นคน จ.หนอ งบัวลำภู เกิดมาในครอบครัวฐานะยา กจ น พ่อแม่มีอาชีพทำนาและรับจ้างทั่วไป ด้วยฐานะยา กจ นจึงต้องช่วยพ่อแม่หาเงินตั้งแต่เรียนประถมฯ ทุกวันหลังเลิกเรียนเธอต้องช่วยงานบ้าน ช่วยแม่ทำกับข้าว และมัดผักช่วยแม่จนดึกเพื่อนำไปขายในตลาดที่อยู่ห่างจากบ้านเกือบ 10 กิโลฯ ส่วนวันเสาร์และวันอาทิตย์ต้องรับจ้างทุกอย่างเพื่อช่วยพ่อแม่หาเงิน

ฐานะยา กจ น น้อยใ จในโชคชะตา แต่ไ ม่หยุดฝัน

ตอนเป็นเด็ กเธอใฝ่ฝันอยากเป็นนักวิทย าศาสตร์ เพราะอยากค้นพบ หรือประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ และชอบภาษาอังกฤษเป็นทุนเดิม เพราะอยากเก่ง อยากสื่อสา รกับคนทั่วโลกได้ เวลาไปรับจ้างเก็บผัก เก็บพริกตามท้องนา หรือเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย ในวันเสาร์ อาทิตย์ เธอเรียนรู้ฝึกหัดภาษาอังกฤษด้วยการฟังสถานีวิทยุ กศน. ที่สอนวิทย าศาสตร์และภาษาอังกฤษ ส่วนตอนเย็นฟังสถานี Voice of America ภาคภาษาลาว

เธอไ ม่เคยได้เรียนพิเศ ษเพราะไ ม่มีเงิน เวลาที่ได้ใส่ใ จการเรียนจริงๆ สำหรับเธอคือในห้องเรียน ซึ่งเธอรู้สึกไ ม่มั่นใ จในทักษะการพูดภาษาอังกฤษเลย แต่ก็ยอมรับจุดด้ อย และพย าย ามเ อาชนะความอ าย โดยพย าย ามคุยกับเพื่อนต่างชาติ พย าย ามออกจาก comfort zone ตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้

เธอยอมรับกับบางครั้งรู้สึกน้อยใ จในโชคชะตาตามประสาเ ด็ก และรู้สึกอ ายที่ต้องทำงานหนักและมีฐานะยา กจ น แต่เธอก็ไ ม่เคยคิดท้อแท้ ยอมรับในโชคชะตาและสู้ชีวิตต่อไป กระทั่งวันหนึ่งเกิดจุดพลิกผันในชีวิต ขณะรับจ้างถางหญ้าในสถานีอนามัยพร้อมพ่อกับแม คุณครูที่สอนมาสถานีอนามัย เธอรู้สึกอา ยจึงวิ่งไปแอบ จังหวะนั้นเธอเหลือบเห็นสายตาเศ ร้าละห้อยของพ่อแม่ที่มองมายังเธอ เพราะรู้สึกสงสารลู กตัวเอง เธอจึงเปลี่ยนความคิดเลิกแคร์ความรู้สึกตัวเอง เลิกอ าย และบอกตัวเอง “ชีวิตต้องดีกว่าที่เป็นอยู่ให้ได้”

ชีวิตลิขิตเอง สอบชิงทุนเรียนฮาวายได้ ทั้งที่ไ ม่เก่งภาษาอังกฤษ

จากนั้นเธอลิขิตชีวิตตัวเอง โดยขณะเรียนมัธยมฯ โรงเรียนประจำอำเภอ เธอสอบชิงทุนรัฐบาลไทยไปเรียนที่ราชภัฏอุดรธานี วิทย าศาสตร์เ คมี กับ ป. บัณฑิตวิชาครู เป็นเวลา 5 ปี พอจบ ไปรับราชการครูสอนเ คมีตามสัญญาทุน สควค. (โครงการส่งเสริมการผลิตครูที่มีความสามารถพิเศ ษทางวิทย าศาสตร์และคณิตศาสตร์) ที่จังหวัดสกลนครประมาณ 5 ปี จึงสอบชิงทุน Ford Foundation’s International Fellowships Program (IFP) ของมูลนิธิ Ford Foundation ได้ด้วยคะแนนสอบโทเฟลสูงถึง 623 เป็นทุนเต็มจำนวนให้เปล่า ไปเรียนที่ฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา 2 ปี พร้อมเพื่อนคนไทย รวมทั้งหมด 4 คน

กว่าจะได้ไปเรียนที่ฮาวาย เธอต้องไปติวเข้มภาษากับอาจารย์จากอเมริกาและจากอังกฤษ ที่มหาวิทย าลัยขอนแก่นเป็นเวลา 5 เดือน ซึ่งการสอบชิงทุนได้ครั้งนี้ นอกจากตัวเธอเองที่มุ่งมั่นแล้ว ยังมีเพื่อนๆ IFP รุ่น 6 ช่วยเหลือแบ่งปันแหล่งเรียนรู้  ไม่ว่าจะเป็น ไฟล์เสียง วิดีโอหนังภาษาอังกฤษ เพื่อฝึกทักษะการฟัง ช่วยกันติวสอบ TOEFL (TOEFL : Test of English as a Foreign Language หรือการสอบสำหรับคนที่ไ ม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่)

“5 เดือนทำข้อสอบเยอะมากจริงๆ ดูหนังเรื่องเดิมซ้ำๆ กลับไปกลับมา ฟังไฟล์เสียงตั้งแต่ตื่นนอนจนหลับ หูฟังนี่ใส่ไว้ตลอด ให้คุ้นภาษา คุ้นสำเนียงภาษาอังกฤษ เพื่อจะสอบ TOEFL ให้ได้อย่างน้อย 550 คะแนน โชคดีหน่อยสอบได้ 623 คะแนน ไ ม่ใช่เก่งภาษาขั้นเทพนะ แต่ข้อสอบ TOEFL จะถามไ ม่กี่เรื่องของอเมริกา เช่น วิทย าศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ วรรณกร รม ศิลปะ”

เปิดชีวิตนักเรียนหอ ทุนเรียนฮาวาย

ตลอดสองปีที่เรียนอยู่ฮาวาย เธออาศัยในหอพัก 12 ชั้น ที่มีคนมาจากหลายประเทศทั่วโลกมากกว่า 200 คน ตามกฎระเบียบ เพื่อนที่มาจากประเทศเดียวกันต้องแยกกันอยู่ ที่นี่ทำให้เธอเกิดมิตรภาพใหม่ๆ ได้ฝึกภาษาและเรียนรู้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันและกัน ซึ่งช่วยทำให้มุมมองของเธอที่มีต่อโลกกว้างขึ้น ได้เรียนรู้ที่จะชื่นชมคนที่คิดต่าง และทำต่างจากที่เธอเคยคิด มีโอกาสสร้างมิตรภาพที่เหนียวแน่นทั้งกับเพื่อนคนไทยและคนต่างชาติ

เพราะรู้ตัวยังพูดภาษาอังกฤษได้ไ ม่ดีนัก แต่เมื่อได้รับโอกาสที่ดี เธอจึงพย าย ามพัฒนาตัวเองทุกชั่ วขณะ และนำคำสอนของครูต่างชาติที่เคยบอกไว้ก่อนได้ทุนไปเรียนปริญญาโทที่สหรัฐฯ มาใช้

“พอไปเรียนฮาวายต้องปรับตัวมาก ชนิดกลับหน้าเป็นหลัง กลับหัวเป็นหาง เพราะต้องคุยกับเพื่อนต่างชาติ และคะแนนการมีส่วนร่วมในห้องเรียนก็มีความสำคัญมาก ต้องพูดแสดงความคิดเห็น ต้องเรียนรู้และปรับไปเรื่อยๆ ตามสถานการณ์ โชคดีหน่อยทักษะการเขียนพอมีบ้าง ระบบการคิดก็ต้องปรับใหม่ ฝรั่งเขาชอบให้เราตั้งคำถาม นันคิดว่าเราต้องกล้า การพูดภาษาอังกฤษตะกุกตะกัก ทำให้เราเรียนรู้มากขึ้น ถ้าไ ม่กล้า มัวแต่กลั วผิ ด อาย ก็จะไ ม่เกิดการปรับตัว ไ ม่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ”

โอกาสนอกจากหาให้ตัวเอง ต้องหาจากคนอื่น

หลังเรียนจบจากสหรัฐฯ เธอกลับมาสอนที่โรงเรียนเดิม ประมาณ 4 ปี ก็ตั ดสินใ จสอบชิงทุน Endeavour Postgraduate Scholarship จากรัฐบาลออสเตรเลีย ได้ไปเรียนปริญญาเอกที่ออสเตรเลียและพอเรียนจบก็ได้ทำงานที่ออสเตรเลียจนถึงวันนี้ เป็นงานสอนและวิจัยในมหาวิทย าลัย ซึ่งติด 1 ใน 50 มหาวิทย าลัยที่เน้นการวิจัยที่ดีที่สุดในโลก

เธอบอกว่าทั้งหมดทั้งมวลจะเป็นไปไ ม่ได้ ถ้าเธอไ ม่เดินตามความฝัน ไ ม่ได้รับแร งบันดาลใ จและแหล่งข้อมูลจาก “สมพร นากลาง” ที่ได้รู้จักขณะเธอเรียนที่สหรัฐฯ คอยพูดบ่อยๆ “เธอต้องทำได้”

“เราไม่รู้ว่าโอกาสที่เราได้มาจะพาเราไปเจออะไร ดังนั้นเราควรเสาะหาโอกาสเสมอ กัลย าณมิตรนี่ยิ่งสำคัญ และเหนือสิ่งอื่นใด พัฒนาตัวเองให้พร้อมเสมอ เตรียมเครื่องมือสอยโอกาสของเราให้พร้อม ถึงแม้ผิ ดหวังบ้าง อย่ าหยุดเรียนรู้ เพราะโอกาสมั นจะเข้ามาเรื่อยๆ สำหรับคนที่พย าย ามตามหา และเมื่อมั นมา มั นต้องมีสักครั้งที่เราสามารถคว้ามั นได้”

อุปสรรคเรียนปริญญาเอก 4 ปีที่ออสเตรเลีย

การเรียนปริญญาเอก 4 ปีที่ออสเตรเลียไ ม่ได้รับเกรด ทุกภาคการศึกษา จบหรือไ ม่จบวัดจากการส่งเล่มวิทย านิพนธ์ ทำให้เธอรู้สึกกังวลว่าจะจบหรือไ ม่ เพราะเธอไ ม่ได้อ่านและทำงานหนักเท่าเพื่อนๆ คนอื่นที่เรียนด้วยกัน และเธอต้องไปสัมมนาหรือไปโครงการแลกเปลี่ยนที่ยุโรป สองสามครั้ง ครั้งละเดือน หรือสองเดือนบ้าง

นอกจากนี้พ่อไ ม่สบายต้องเข้าโรงพย าบาลบ่อย หลานสาวต้องผ่ าตัดตั้งแต่แรกเกิดและต้องไปหาหมอตลอด บางทีต้องบินด่วนกลับไทยเพราะพ่ออาการทรุ ด ทุกเช้าสิ่งที่ทำทุกครั้งหลังลืมตาขึ้นมาคือดูโทรศัพท์ว่าน้องจะแจ้งอะไรมาไหม และเธอจะส่งข้อความถามว่า ทุกคนสบายดีไหม

“การอยู่ไกลบ้านไกลครอบครัว คือสิ่งลำบ ากสุด โดยเฉพาะสองเดือนสุดท้ายก่อนส่งเล่มวิทย านิพนธ์เพื่อสอบจบ ต้องบินกลับไทยด่วน ไปดูแลพ่อ และหลาน ตลอดเวลาเดือนครึ่งไ ม่มีเวลาเขียนวิทย านิพนธ์เลย ในที่สุดก็ต้องเขียนสามบทสุดท้าย รวมทั้งปรับแก้บทอื่นๆ ให้เข้ากันในเวลาสามอาทิตย์ มั นเป็นอะไรที่เครีย ดมากที่สุดในชีวิตเลย”

4 เทคนิคจบปริญญาโท เกรด 4.00

แม้ต้องเจอปัญหาทั้งการเรียนและปัญหาชีวิต แต่สุดท้ายเธอก็ก้าวข้ามผ่านปัญหาต่างๆ มาได้ด้วยดีจนเรียนจบปริญญาโท เกรด 4.00 ด้วย 4 เทคนิค คือ

1 strategic thinking การคิดแบบมีกลยุทธ์ วิเคร าะห์งานที่จะทำ และคิดหาวิธีและวางแผนที่จะทำให้หลากหลาย แล้วเลือกกลยุทธ์ที่ง่ายและมีประสิทธิภาพสูงสุด

2 มีการคิดสะท้อนกลับ เมื่อทำไปแล้วประเมินผล ว่าทำอะไร ผลเป็นยังไง ครั้งหน้าควรทำแบบนี้ไหม ควรทำอะไรที่ต่างจากนี้บ้าง เพื่อให้ผลมั นดีขึ้น

3 Resilience คือ ท้อได้แต่อย่ าถอย ทุกความล้มเหลวเป็นบทเรียน หากคิดเช่นนี้จะไ ม่เคยรู้สึกว่าแพ้ แม้แต่ความล้มเหลวก็สอนได้มากโข

4 การคบกัลย าณมิตรที่ดี คอยช่วยเหลือแนะนำสิ่งดีๆ

วันนี้ความฝันของ ดร.นัน เป็นจริงและเธอประสบความสำเร็จในชีวิตได้ เธอบอกกับทีมข่าวเฉพาะกิจฯ ความสำเร็จในวันนี้คือความสำเร็จของพ่อแม่ด้วยเช่นกัน เพราะถ้าพ่อแม่ไ ม่ให้กำเนิด ไ ม่เลี้ยงดู ไ ม่สอนให้รู้จักความลำบา กในวัยเ ด็ก ไ ม่ส่งเ สียให้เรียนมัธยมศึกษา และไ ม่สอนให้คิดถึงคนอื่นนอกจากความต้องการของตนเอง เธอคงไ ม่มีวันนี้

ถึงแม้วันนี้พ่อได้จากเธอไปแล้ว แต่เธอเชื่ อว่าพ่อภูมิใ จกับทุกความสำเร็จของเธอ เพราะทุกครั้งที่มองรอยยิ้มของแม่ เธอจะเห็นรอยยิ้มของพ่อด้วยเสมอ

“พ่อและแม่คือแร งบันดาลใ จและแรงผลักดันให้ทำตามความฝัน พ่อแม่จะบอกเสมอ ให้คิดดี พูดดี ทำดี ทำตามสิ่งที่เห็นว่าสมควร นันพ ย าย ามให้ได้ทุนเรียนเต็มจำนวนทุกระดับ เพื่อแบ่งเบาภาระทางบ้าน นันเชื่ อว่า ถ้าเราไ ม่เดินตามฝัน เราก็จะอยู่จุดนั้นตลอดไป ถ้าเราเอ าชนะความกลั วและเริ่มก้าวเดิน ทุกย่างก้าวคือการเรียนรู้ เราไ ม่รู้ว่าก้าวนั้นจะพาเราไปจุดไหน และเราก็ไ ม่รู้ว่ามันจะพาเราไปถึงจุดหมายหรือไ ม่ แต่อย่างน้อย เรารู้ว่า มั นจะพาเราออกจากจุดเริ่มต้นของเราแน่นอน”

ที่มา ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน

ใส่ความเห็น

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า