จบปริญญาตรีด้วยวัย 18 ปี สอบติดผู้ช่วยผู้พิพากษาวัย 25
สุดยอดเด็ กไทย สอบผู้พิพากษาติดตั้งแต่ครั้งแรก แถมจบปริญญาตรีด้วยวัย 18 ปี เท่านั้น
สวัสดีครับ หลาย ๆ ท่านคงจะทราบข่าวที่น่ายินดีกันไปแล้ว จาการที่ปธ.ศาลฎีกา ประกาศผลผู้ช่วยผู้พิพากษารุ่น 73 จำนวน 171 ราย สอบได้อันดับ 1 เป็นเด็กต้นกล้าตุลาการรุ่นแรก โดยว่าที่ผู้พิพากษาใหม่ท่านนี้ คือ นายศตพัฒน์ แขกเพ็ง
สอบติดที่ 1 ผู้ช่วยผู้พิพากษา สอบติดอันดับ 3 เนติบัณฑิตไทย สอบติดครั้งแรกวัย 25 จบปริญญาตรี 18 พรีดีกรี
โดยอันดับความพีคแบบขนลุกที่มากกว่าปกติ คือ
– ท่านนี้จบพรีดีกรีรามด้วยวัย 18 ปี (ใช่ครับ 18 ปีในขณะที่หลาย ๆ คนยังหาคณะเรียนกันอยู่เลย จบ ป.ตรีแล้ว)
– เป็น 1 ใน โครงการต้นกล้าตุลาการรุ่นแรก ซึ่งเป็นการเน้นให้เห็นว่าเสาที่ 3 คือ เสาแห่งตุลาการไทยได้ทำโครงการนี้ออกมา เกรดสอบผ่าน คือ A
– ได้ที่ 3 เนติบัณฑิตไทย ซึ่งปกติ การสอบเนติบัณฑิตติดใน 10 ลำดับแรก ถือว่าท็อปฟอร์มมาก ๆ แล้ว เพราะสนามนี้ เราจะเจอบัณฑิตเก่ง ๆ จากทั่วประเทศในสายนิติศาสตร์อยู่แล้ว โดยท็อป 10 ต้น ๆ ส่วนใหญ่มาจาก ม.ธรรมศาสตร์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทย าลัย และ มหาวิทย าลัยรามคำแหง
– และ อีก Step ความเหนือ คือ ว่าที่ผู้พิพากษาท่านนี้สอบติดตั้งแต่ครั้งแรกที่คุณสมบัติด้านอายุถึง คือ วัยเพียง 25 ปี ที่กำหนดไว้ในคุณสมบัติของผู้มีสิทธิสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา ซึ่งถือเป็นอะไรที่พิเศษ ยิ่งกว่าพิเศษ
เจ้าตัวยังได้เปิดเผยเคล็ดลับแบ่งปันคนที่มีฝันด้วยว่า
“การที่เราจะทำสิ่งใดได้ดีนั้น จะต้องมีใ จรัก และอยากจะทำสิ่งนั้นจริงๆ การเรียนกฎหมายก็เช่นกัน ต้องเริ่มจากความรู้สึกอยากจะเรียนจริงๆ ไ ม่ใช่เพราะถูกบังคับหรือเพราะไ ม่รู้จะเรียนอะไร แต่แน่นอนครับ น้อยคนมากที่เข้ามาเรียนเพราะความรู้สึกแบบนี้แต่แรก ดังนั้น เราควรจะสร้างความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมาให้ได้ โดยอาจจะหาแ รงบันดาลใ จจากใครสักคน หรือเพื่อเป้ าหมายที่เราวางเอ าไว้ว่าอยากจะเป็น”
ศตพัฒน์ บอกว่า เมื่อใ จมาแล้ว ก็ไ ม่ใช่เรื่องยาก สิ่งที่มีต่อมาคือ ความขยัน วิชากฎหมาย เป็นวิชาที่ต้องอาศัยความขยันเข้าช่วย เพราะสำหรับวิชากฎหมายนี้ ไ ม่มีคนเก่งมีแต่คนขยัน ไ ม่มีคนโ ง่ มีแต่คนขี้เกีย จ แต่บางทีความขยัน ก็ควรเป็นการขยันให้ถูกที่ถูกทางด้วย เพื่อไ ม่ให้ความขยันนั้นสูญเปล่า
เรื่องสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จในวันนี้ ก็คือ “การแบ่งเวลา” ซึ่งศตพัฒน์ บอกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด สำหรับตัวเอง เพราะต้องเรียนควบคู่กันไป ระหว่างการเรียนในชั้นมัธยมปลาย กับ Pre -degree การแบ่งเวลา จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
เขาเริ่มวางแผน จากการลงทะเบียนเรียน โดยจะลงเท่าที่คิดว่า ตัวเองจะพอสอบไหว ต้องดูวันสอบให้ห่างกัน เพื่อจะได้มีเวลาพอ ที่จะทบทวน พอลงทะเบียนเสร็จแล้ว ก็จะไปหาซื้อหนังสือทุกวิชา เพราะไ ม่ได้มีโอกาส เข้าฟังคำบรรยาย จึงต้องซื้อหนังสือทั้งหมดกลับไปอ่านเอง โดยหลักจะเป็นตำราของอาจารย์ เสริมด้วยชีทสรุป และข้อสอบเก่าหน้าราม
พอได้หนังสือกลับมาครบ ก็จะแบ่งเวลาอ่านหนังสือ โดยจะอ่านทุกวันวันละ 1 ชั่ วโมง แต่เป็น 1 ชั่ วโมง ที่อ่านแบบเข้าใ จ เวลาอ่านหนังสือ จะอ่านได้นานเท่าไหน ไ ม่ใช่สิ่งสำคัญ สำคัญอยู่ที่ว่า จะได้อะไรจากการอ่าน ในครั้งนั้นๆ บ้าง
แต่ที่สำคัญต้องสร้างนิสัยของการรักการอ่านขึ้นมา โดยจะต้องอ่านหนังสือทุกวัน และควรจะโน้ตย่อไปด้วยในทุก ๆ ครั้งที่อ่าน